มีนาคม 21, 2008
ไร้รส นิยม-tasteless
อะไรคือความไร้รสนิยม ใครคือผู้ที่สามารถที่จะตัดสินผู้อื่นได้ว่าคนๆนั้นไร้รสนิยม
ผมไม่รู้หลอกว่าคำว่า”ไร้รสนิยม”จริงๆแล้วนะมันมีบรรทัดฐานในการนำไปใช้กับใคร โอกาศใด และใช้อะไรในการตัดสินบุคคลนั้นๆว่าบุคคลนั้นๆเป็นผู้ไร้รสนิยม
ผมก็เคยใช้ หลายๆครั้งยังเผลอหลุดไปเลย
จากการที่ผมได้มีโอกาศในการได้คลุกคลีกับบุคคลหลายคนที่ใช้คำนี้ และใช้เองแล้ว ผมจึงบอกได้ว่ากลุ่มคำกลุ่มนี้จะมีคำที่ตามมาด้วยซึ่งก็คือ”เสี่ยว” และ”ลาว” “เสี่ยว”นะผมคิดว่าน่าจะมีความหมายคล้ายๆกับ”ไร้รสนิยม”ซึ่งทั้งสองคำนี้ก็น่าจะมีเป้าหมายในการใช้ตรงกันซึ่งก็คือการดูถูก ดูหมิ่น หรือเหยียดหยามบุคคลที่โดนด่า แล้วคำว่า”ลาว”ละมันมาได้ไงกัน อาจจะเป็นการใช้คำที่มีผลพลอยได้มาจากการเหยียดหยามชาติเพื่อนบ้านเราที่เค้าอาจจะไม่เจริญทางด้านวัตถุเท่าบ้านเรา จึงนำเอาชื่อประเทศเค้ามาใช้เป็นคำปรามาถบุคคลอื่นๆที่ไม่ทำตัวหรือปฎิบัติตนตาม ความคิดของคนที่ใช้คำนี้
ผมก็เคยโดน
แต่คุณคิดว่าเป็นสิ่งที่ฉลาดแล้วเหรอที่จะนำคำเหล่านี้มาว่าคนอื่นที่เค้าแปลก แตกต่าง มันไม่ได้ช่วยให้คุณ หรือผมสูงขึ้นเลยมีแต่ต่ำลง กลายเป็นคนที่มองอะไรแค่เปลือกนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่งโง่มากอะ การดูถูกคนอื่นมันมีแต่จะแสดงให้เห็นว่าสภาพจิตของคุณหรือผมตกต่ำลง
ไอ้คำนี้นะมันก็แค่ใช้ตัวเองเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางไม่ใช่เรอะเหมือนตัวเองแม่งสุดยอดสุดแล้ว ถึงไปด่าคนๆนั้นได้ แต่ผมว่านะถ้าเวลา และสถานที่เปลี่ยนไป คุณนั่นแหละที่เป็นคนที่ “ไร่รสนิยม”…
นี่เป็นความเห็นของกระผมนะพี่น้อง แล้วคุณคิดว่าไอ้คำนี้นะมันคืออะไร มันหมายความยังไง
SSM said,
มีนาคม 21, 2008 ที่ 11:20 pm
มนุษย์เราชอบให้ตัวเองรู้สึกแตกต่างจากคนอื่น แต่ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกรังเกียจเมื่อคนอื่นแตกต่างจากตัวเอง
อาจฟังดูแปลกๆ แต่มันก็เป็นความจริงพอดูเลย พิสูจน์ได้จากสงครามต่างๆนาๆตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน หรือมองดูจากตัวเองก็ได้ คำว่าแตกต่างนั้น อาจมองอีกแง่ได้ก็คือ “เหนือกว่า” ก็ได้ และเมื่อเราเจอคนที่แตกต่างจากตัวเอง เราจึงมักจะ(พยายาม)จัดกลุ่มคนเหล่านั้นไปโดยอัตโนมัติ และเมื่อเค้าไม่เหมือนเรานั้น ก็ไม่มีทางอยู่ในระดับเดียวกับเราได้ ส่วนจะจัดอยู่ในระดับ เหนือกว่า หรือ ต่ำกว่านั้น คำตอบคงรู้ๆกันอยู่
โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า มันก็ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอะไร ถ้าคุณเห็นคนที่แตกต่างจากตัวเองแล้ว หยุดอยู่แค่ความคิด แต่ปัญหาที่เกิดขึ่นส่วนใหญ่แล้วมันเกิดขึ่นเพราะมันไม่หยุดที่ความคิดนี่แหละ
*อย่าว่าแต่ลาวเลย ขนาดเพลงลูกทุ่ง ดนตรีไทยของเราเองแท้ๆ เรายังรังเกียจเลย ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าผมชอบฟังอะไร ผมก็ไม่ฟังเหมือนกัน แต่ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่า รังเกียจ ต้องไปด่าเสียๆหายๆ เพราะด่าไปมันจะเข้าตัวเองเอา
ปล. ไม่แน่ ถ้าเราไปเดินแถวประเทศเพื่อนบ้าน เราอาจจะได้ยินชาวบ้านด่ากันว่า ไอ้ไทยเอ้ย ก็ได้
siripat said,
มีนาคม 23, 2008 ที่ 10:28 pm
มันเป็นเรื่องธรรมดานะผมว่า คนเราชอบทำให้ตัวเองดูเหนือกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว
เรื่องรสนิยมนี่จะเห็นชัดเลยว่าเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องการแบ่งชนชั้น อันนี้จะเห็นชัดมาก การดูถูกผู้ที่มีฐานะต่ำกว่ามักเป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไป
การดูถูก การเหยียดหยาม ผมว่าคนเรามีกันอยู่ทุกคน ขึ้นอยู่ว่าจะคนๆนั้นจะใช้มันรึเปล่า
เรื่องการหาข้ออ้างในการด่าก็เหมือนกัน คนเราจะด่าอะไรบางทีมันไม่ต้องมีเหตุผล มันมาจากอารมณ์ล้วนๆเลย ว่ามั้ย คนที่มีรสนิยมอีกอย่าง ก็ด่าคนที่มีรสนิยมอีกอย่าง
เช่นคนชอบเพลงร๊อค อีโม เพลงตลาด หรือพวกฟังเพลงดีแค่ไหน เห็นใครฟัง เพลงลูกทุ่ง ก็จะหาว่ามีรสนิยมต่ำ
แต่มันก็ไม่จำเป็นว่ามีฐานะสูงกว่า จะมีรสนิยมดีกว่าคนที่มีฐานะต่ำกว่า เลย
ผมเห็นมาเยอะแยะ คนที่มีเงินทองมหาศาล รสนิยมก็ไม่ได้ดีอะไรมาก สักแต่ว่าตัวเองใช้ของแพง เลยถือว่ารสนิยมดี
เรื่องแบบนี้บางทีอาจจะต้องปล่อยวาง ตัวผมตัวคุณหรือใครๆก็ต้องเคยด่าคนเรื่องรสนิยมมาเหมือนกัน คนอื่นเค้าจะว่าอะไรจะไปสนใจทำไม
อย่าไปคิดมากให้ปวดสมองเลยดีกว่า
ในความคิดของผม ไม่คิดว่า รสนิยม จะเป็นตัวแบ่งแยกความเป็นคน
walkonthesideway said,
มีนาคม 24, 2008 ที่ 12:09 am
เราเองก็เคยโดนนะ ประโยคจำพวกนี้ แต่ก็ฟังผ่านๆ นะ…
เพราะบางครั้งเราจำเป็นต้องรับกับความเห็นคนอื่นหากต้องทำงานส่วนรวมนั้นร่วมกัน
แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ข้องแวะกับหัวใคร
ก็อย่ามาว่าฉันละกัน…
คิดว่ารสนิยม เป็นความชอบส่วนตัวนะ…
siriluck said,
มีนาคม 24, 2008 ที่ 10:18 am
ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบคนที่ใช้คำพูดคำว่า “ลาว” แทนการแสดงออกถึงความไม่เข้าท่า ด้อยพัฒนา หรืออะไรก็ตามแต่
สงสารคนลาวเขาน่ะค่ะ ที่พูดแบบนี้ก็เพราะเคยลองนึกดูว่า
ถ้าสมมุติมีประเทศที่พัฒนากว่าเรา ใช้คำพูดที่แสดงความเห่ย แย่ หรือล้าหลังอะไรทำนองเนี๊ย
โดยใช้คำว่า”ไทย”แทน แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้วอ่ะค่ะ
yawaiam said,
มีนาคม 26, 2008 ที่ 8:26 am
ถ้าใครว่าเรา “ไร้รสนิยม”
ก็ลองถามเขากลับไปว่า
“มีรสนิยม” ของคุณคืออย่างไร
เผื่อจะได้รู้เขารู้เราบ้าง
ถ้าบรรยากาศดี ๆ ก็ลองถามไปใหม่ว่า
การที่เราไร้รสนิยมทำให้คุณเดือดร้อนหรือเปล่า
khun_aut said,
มีนาคม 29, 2008 ที่ 2:04 pm
ธนบัตร ราคา ๑ พัน … หรือ เศษกระดาษหนึ่งแผ่น ใครหนอให้คุณค่ามัน
หอเอนๆ นามว่า ปิซา … หรือ ซากอาคาร โชว์ความล้มเหลวทางวิศวกรรม
… ใครเล่าให้คุณค่ามัน
รสนิยม ค่านิยม ก็ไม่ต่างกัน ถ้าเรายังแยกไม่ได้เสียทีว่า … อะไรเพื่อใช้ อะไรเพื่อโชว์
ชีวิตคนเรา ก็จะไม่มีค่าใดๆ ถ้าไม่มีใคร … ให้คุณค่ามัน
: )
siriluck said,
มีนาคม 30, 2008 ที่ 5:37 pm
คุณ khun_aut เขียนดีนะคะ ชอบๆๆๆๆๆ 😀
สวัสดีเจ้าของบ้านด้วยนะคะ 😀
ปุถุชน said,
เมษายน 3, 2008 ที่ 7:58 pm
น่าคิดนะครับ..
ซาอิ said,
พฤษภาคม 12, 2008 ที่ 2:12 pm
คำว่ารสนิยม(taste) นั้น เป็นแนวคิดหนึ่งในทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยปรัชญา
ซึ่งหลักของสุนทรียศาสตร์นั้น ในแต่ละยุคสมัยก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น ในสุนทรียศาสตร์โบราณ ประมาณยุคกรีก โรมันอะไรพวกนั้น ก็จะมีแนวคิดเกี่ยวกับศิลปะที่ว่าด้วยความงาม ทั้งงานสถาปัตยกรรม ศิลปะ จิตกรรม ต่างๆลว้นเน้นสัดส่วน โครงสร้างที่สวยงาม สมบูรณ์ตามหลักของกรีก โรมัน ซึ่งหลักังกล่าวนี้ก็เป็นพื้นฐานสำหรับสุนทรียะในยุคต่อๆมา
ในยุคกลาง ตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา หรือเรอนัวร์ซอง เป็นต้นมาจนถึงประมาณ ยุคบารอค รอคโกโก ก็เริ่มมีแนวคิดเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ที่เน้นไปที่ รสนิยม แล้วคำว่ารสนิยมนี้แหละที่น่าสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่
แนวคิดเกี่ยวกับรสนิยมนี้มีนักปรัชญาได้ให้ความหมายไว้มากพอสมควร
บ้างก็ว่า เป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ เป็นความสามารถรับรู้ได้เฉพาะบุคคล
บ้างก็ว่าการตัดสินรสนิยมสามารถเกิดจากการศึกษา อบรม บวกกับเหตุผลและประสบการณ์ และความพึงพอใจส่วนตัว(อันนี้น่าจะมาเป็นอันดับสุดท้าย)
และในยุคที่สุนทรียศาสตร์เน้นไปในเรื่องของรสนิยมนั้น รสนิยมในแต่ละยุคจะถูกกำหนดด้วยคนชั้นสูง และศิลปิน นักปรัชญา เพราะยุคพวกนี้ ระบบกษัตริย์และศิลปวิทยาการยังคงอยู่ในสมัยที่เฟื่องฟู
เช่นรสนิยม ในยุคเรอนัวร์ซอง ก็จะเน้นไปที่โครงสร้าง และความเสมือนจริงในทางศิลปะ
ในยุคบารอค รอคโคโค ก็จะเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อย อลังการ ทั้งงานสถาปัตยกรรม จิตกรรม งานศิลปะ แม้กระทั่งงานเขียนหรือดนตรี
แต่ว่าพอหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้น หลักสุนทรีญศาสตร์ได้เน้นไปที่ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลมากขึ้น
ไม่ได้มีหลักสากล แบบกว้างๆที่จะมากำหนดอีกต่อไป
รสนิยม นั้นถูกเปรียบกับ รสชาด ที่จะมีความเค็ม เผ็ด เปรี้ยว ต่างๆนาๆ
และจะขึ้นอยู่กับความนิยมของบุคคล
แม้ว่ารสนิยมจะเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม และเป็นการตัดสินเชิงคุณค่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นสิ่งที่ตัดสินไม่ได้ และขึ้นอยู่กับตัวบุคคลโดยสิ้นเชิง แต่สามารถตัดสินได้จากเหตุผล และประสบการณ์
และในยุคปัจจุบันที่เริ่มมีแนวคิดแบบหลังสมัยใหม่ ขึ้นมาโดยที่หลักทฤษฏีต่างๆนั้น ได้ถือว่าไม่มีทฤษฏีหรือหลักตายตัวที่เป็นสากลอันแสดงถึงการกดขี่ทางอำนาจเช่นในยุคล่าอณานิคมที่ชาวตะวันตกพยายามจะเปลี่ยนโลกให้เป็นแบบตัวเอง หรือเป็นสากลนั้น ไหยไป
แต่มีการให้คุณค่ากับความเป็นปัจเจกมากขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมแบบไหน ก็จะมีทั้งที่มีรสนิยม หรือ ไร้รสนิยมได้ทั้งนั้น เช่น เพลงลูกทุ่งเอง ก็จะมีทั้งเพลงที่ดี และไม่ดี ทั้งนี้ก็ตัดสินตามหลักของสุนทรียทางดนตรีลูกทุ่ง
ซึ่งเสียงร้อง อะไรนั้นมันก็สามารถตัดสินได้ง่ายๆ จากการฟังปกติอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น การประกวดร้องเพลงหรือดนตรี เขาจะตัดสินได้อย่างไร
แต่ว่าเรื่องของความมีรสนิยมนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นปรัชญา ดังนั้นก่อนจะตัดสินต้องครุ่นคิดให้มาก เช่น เพลงหรือนิยายแบบตลาด ที่ลอกพลอตหรือจังหวะหลักๆ กันมา แล้วขายอะไรบางอย่างเช่นความน่ารัก ความตลกโปกฮา ความเซ็กซี่ ความเป็นมหาชน(เขาใช้กันเราใช้ตาม , เห็นเขาบอกว่าดีนะ คนอื่นก็อ่านกัน) อย่างนี้จะถือว่าเป็นสิ่งที่มีรสนิยมดีได้หรือไม่
ดังนั้น การตัดสินรสนิยมไม่ได้มาจากการตัดสินด้วยคนส่วนมากเสมอไป
การแต่งกายก็เช่นกัน ว่าการแต่งตัวที่ดูดีกับดูแย่ มันเป็นอย่างไร แม้จะขึ้นกับความพอใจเป็นหลัก แต่หากว่าแต่งออกมาแล้วดูไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมและกาละเทศะหรือเหมาะกับตัวเอง เช่นคนอ้วนใส่กางเกงรัดรูป(leging)สีแดง หรือคนผิวดำใส่ชุดสีเหลืองสดแล้วดูไม่เข้ากันแบบนี้ จะเรียกว่ามีรสนิยมได้หรือเปล่า ???
แต่ว่าคำว่าเสี่ยว กับลาวนั้น ผมไม่เห็นด้วยครับที่จะนำมาใช้แทนรสนิยมที่แย่หรือไม่ดี เพราะความหมายมันไม่ได้ตรงกันเลย แถมังเป็นข้อผิดพลาดทางภาษา และแสดงถึงการดูถูกและตัดสินอย่างมีอคติอีกด้วยนะครับ
ซึ่งปกติการตัดสินเชิงคุณค่านั้นจะทำด้ก็ต่อเมื่อเราสามารถออกจากความเคยชินของตนเอง และปราศจากอคติเท่านั้น