พฤศจิกายน 1, 2008

เมื่อฟ้าสีเดียวกัน

Posted in สังคม tagged ที่ 2:46 pm โดย lljtheone

อย่าแปลกใจ หากก่อนออกจากบ้านคุณต้องคอยเช็คสีเสื้อของคุณให้แน่ใจก่อนว่า ไม่ได้ใส่สีแดง แม้แตเสื้อสีเหลือง ซึ่งแต่เดิมแต่แรกเริ่มนั้น คนใส่เพื่อแสดงความรักความจงรักภักดีต่อในหลวง แต่ตอนนี้ผมต้องแปลกใจเมื่อพบว่าคนใส่เสื้อสีเหลืองตามท้องถนนทั่วไปนั้น น้อยลงมาก เพราะความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันไปไกลถึงขั้นสถาปนาเป็นสถาบัน แบบ 2 ขั้วที่แย่งชิงอำนาจกันอยู่ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นฝ่าย ขวาใหม่แบบไทยๆ และ ฝ่ายซ้ายใหม่แบบไทยๆได้ ซึ่งถ้าเราเปลี่ยนสีสถาบันเหล่านี้ให้เป็นพรรคการเมือง และจัดการสร้างระบบที่เป็นธรรมและยอมรับได้สำหรับทั้ง2ฝ่ายขึ้นมา เพื่อให้ความขัดแย้งและการแข่งขันแย่งชิงอำนาจเป็นไปตาม “เกมที่อยู่ในกติกา” ที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับว่าแพ้เมื่อแพ้ แต่ฝ่ายที่ชนะก็ต้องไม่หยามในศักดิ์ศรีของผู้แพ้ (จริงๆการเมืองอเมริกาก็มีอารมณ์คล้ายๆไทยในด้านความแตกต่างระหว่างเสียงชนบทของrepublicanกับเสียงคนเมืองของdemocratเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ออกมายึดทำเนียบ! หรือจัดตั้งกองกำลังมาขู่ทำร้ายอีกฝ่าย!) การรู้จักแพ้-ชนะเป็นเรื่องที่สำคัญมากในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

แต่ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า ผู้แพ้ในระบอบนี้ก็สมควรมีส่วนในการตัดสินใจในเรื่องบางเรื่องด้วย เพราะการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่ใช่การมอบอำนาจสูงสุดให้ผู้ชนะ แต่เป็นเพียงการบอกว่าความคิดแบบของผู้ชนะตอนนี้เป็นส่วนใหญ่ของสังคม ไม่ใช่ทั้งหมดของสังคม

ดังนั้นการตัดสินใจใดๆก็ตาม ก็ต้องฟังความคิดของผู้แพ้ที่มีความคิดที่ต่างไปในการพัฒนาประเทศ ถ้าเราสามารถรักษาอุดมการณ์ของแต่ละฝ่ายไว้ได้โดยไม่ก้าวก่ายเหยียดอุดมการณ์ของอีกฝ่ายว่า เป็นของพวกชั้นต่ำ หรือเป็นพวกฝ่ายขวาต้องการล้มล้างประชาธิปไตยโดยรัฐประหาร

….

ที่ผมพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ เพราะผมรู้สึกปวดใจเหลือเกิน เมื่อได้ยินใครก็ตามที่เรียกฝ่ายเสื้อสีแดงว่าเป็นพวกชั้นต่ำที่หัวรุนแรง และเป็นพวกโดน “ซื้อ” มาซะทุกคน และบอกว่าฝ่ายพันธมิตรมีแต่พวกเดิน emporium!….. (แม้ต้องยอมรับความจริงว่าฝ่ายเสื้อสีแดงชอบสร้างข่าวก่อความรุนแรง ดูไม่ค่อยปัญญาชนมากนักก็ตาม) การเหมารวมอีกฝ่ายเปนตัวการสำคัญที่สร้างความแตกแยกเป็น2ฝ่าย อย่างชัดเจนในประเทศไทยขึ้นทุกที ไม่รวมถึงผลกระทบหลัง7ตุลา ที่เกิดการไร้จรรยาบรรณในวิชาชีพขึ้นไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใดก็ตาม

ในอีกด้านนึง การใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มที่จะรุนแรงขึ้นทุกทีๆ … (พวกที่ทำเนียบมันได้ค่าจ้าง เกณฑ์มากจากต่างจังหวัดทั้งนั้น!พวกที่ราชมัง ก็โดนคนจากต่างประเทศเขาซื้อหมดแล้ว!) ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะมีบางส่วน แต่การขยายให้มันดูเกินจริงได้สร้างความเข้าใจแบบผิดๆให้กับสังคม ผมเชื่อว่าคนจำนวนมากเขามีอุดมการณ์แบบบริสุทธิ์ในแบบของเขา ไม่ได้มีผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆ เหมือนในระดับของผู้นำ

แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับเป็นเหยื่อของความรุนแรงแทน!

และเป็นเหยื่อในการถูกหยามเหยียด

เป็นเหยื่อของความขัดแย้งระหว่างกัน แม้แต่ในครอบครัว เพื่อนฝูง คนจำนวนมากในไทยเวลานี้ครับ มีสีติดตัวคนละสี และไม่ต้องการสีอื่นใด การจะผสมให้เปลี่ยนสี หรือการเจรจาให้ยุติ นั้นเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกินแล้ว ถ้าตราบใดผู้นำของแต่ละฝ่ายยังคงเล่นการเมืองกันโดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่ถูกต้องต่อไป (ไม่ว่าจะการให้ข่าวปลุกระดม หรือแผนซ้อนแผนของแต่ละฝ่าย) ทุกคนบอกว่ารักชาติ เหมือนกัน ผมเชื่อครับ แต่ในระดับผู้นำที่ก่อปัญหาขึ้นมานั้น ยังต้องตั้งข้อสงสัยอยู่ว่าจริงหรือเปล่า

สีแต่ละสีอาจจะรักชาติในแบบที่ไม่เหมือนกัน แต่เราก็รักชาติเหมือนกัน อย่าปล่อยให้ข้อหาไม่รักชาติ ไม่รักสถาบันมาทำลายกันอีกเลยครับ เรามาหาทางสร้างระบบใหม่ที่เป็นธรรมกันทั้ง 2 ฝ่ายดีกว่า แน่นอนแม้ทั้ง2ฝ่ายต่างตั้งเป้าจะทำลายระบบของอีกฝ่ายให้สิ้นซากกันทั้ง2ฝ่าย เปรียบเสมือนการรีเซตระบบให้เป็นในแบบที่ตนคิด แต่เราทำลายคนในระบบอีกฝ่ายไม่ได้หรอกครับ เราต้องอยู่ร่วมกัน การถอยความคิดความเชื่อเราให้เข้ามาอยู่ตรงกลางมากขึ้น (ในแง่ของความซ้ายขวาที่จัดจ้านเสียเหลือเกิน)

อย่าคิดอะไรที่มันเว่อเกินไป เป็นความเป็นจริงมากขึ้น แล้วเราหันมามองในแง่ของผลประโยชน์ของประชาชนในชาติดีกว่า (ไม่อยากใช้คำว่าของประเทศ เพราะมันนามธรรมและเอามาอ้างได้กันทั้ง2ฝ่าย) ระบบที่ดีคือระบบที่ทุกคนยอมรับ และการที่ทุกคนจะยอมรับ เราจะให้คนที่ได้อำนาจสูงสุดมาเปลี่ยน(รัฐบาล) ก็คงจะไม่มีความยั่งยืน พอวันเวลาผ่านไปก็เกิดรัฐประหารอีก แต่ถ้าเราหันมาตกลงกันจริงจัง เลิกเล่นการเมือง มองความเป็นจริง ไม่สุดโต่ง แล้วตกลงกันได้จริงๆ ความมั่นคงมาแน่ครับ และผมเชื่อว่าเราจะไม่เจอรัฐประหาร หรือความขัดแย้งที่ระบบจัดการไม่ได้อีกนาน เพราะทุกคนพูดได้ว่าเป็นระบบที่ทุกฝ่ายยอมรับแล้ว

เมื่อนั้นท้องฟ้าในประเทศของเรา ประชาชนทุกคนก็จะเห็นเป็นสีๆเดียวกัน อาจจะต่างกันแค่ความคิดที่ระบบจัดการได้เท่านั้นเอง…

ปล. แม้จริงๆแล้วผมจะมีอุดมการณ์ของผมอยู๋ แต่ผมไม่เลือกสี เพราะสีไม่ใช่อุดมการณืของผมแต่เป็นของคนๆอื่นไม่กี่คน! ไม่มีใครเลือกสีให้ผมได้หรอกครับ

ปล. การที่บอกว่าประชาชนในชนบทไม่รักชาติ สถาบัน ถูกซื้อเสียงได้นั้น เพราะเขาไม่มีการศึกษาจึงไม่รู้ แล้วทำไมเราจึงไม่ให้การศึกษาเขาละครับ ไปเหยียดหยามเขาแล้วเขาจะเข้าใจอะไรมากขึ้นหรือไง แต่อีกแง่นึง คนพวกที่ได้รับการศึกษาอาจจะไม่ใช่พวกที่ฉลาดเสมอไปก็ได้ เพราะระบบการสร้างความคิดเชื่อในการศึกษาไทยกับสื่อไทย ก็ครอบงำคนมีการศึกษาจนหลงมัวมายได้เหมือนกันคนชนบทอาจจะถูกซื้อเสียง (ซึ่งผมเชื่อว่าการซื้อเสียงตรงๆนั้นแทบไม่มีแล้ว แต่น่าจะเป็นการให้ความอุปถัมป์ดูแลมากกว่า จากที่เคยได้คุยกับเพื่อนต่างจังหวัดมา เขาบอกว่าเขาเลือกคนในพรรคนั้น เพราะได้รับประโยชน์เวลามีปัญหาโดย คนของพรรคนั้น ก็ต้องแก้ที่ระบบที่คุ้มครองประชาชนครับ มันโหล่โท่ย เช่น ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ของเรา ไปด่าคนชนบทเขา ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก) แต่เขาก็ได้ผลประโยชน์ที่ถึงตัวพวกเขา แล้วคนเมืองละครับทำเพื่ออะไร หรือใคร อย่าลืมนะครับ การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าให้กับสังคม ไม่ใช่ให้ใครคนนึง (ผมแสดงอุดมการณ์ของผมไปซะแล้ว)

2 ความเห็น »

  1. SSM said,

    สูง-ต่ำ
    กว้าง-แคบ
    ยาว-สั้น
    ร้อน-หนาว
    หนา-บาง
    แข็ง-อ่อน
    ดำ-ขาว
    ……….
    คำเหล่านี้ ใครมันเป็นคนคิดกัน(วะ) เป็นคำถามที่ชอบผุดขึ้นมาในหัวผมบ่อยๆเวลาเห็นอะไรที่ไม่พอใจ
    เป็นเรื่องน่าขำ ที่มนุษย์เราใช้จินตนาการ ให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆมากมาย แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีแม้แต่ตัวตน (แถมตั้งชื่อซะสวยหรู สงสัยเอาไว้ให้เวลาคนฟังแล้วคิดว่ามันต้องยิ่งใหญ่ สูงส่ง ทั้งๆที่จริงๆมันก็แค่เป็นก้อนความคิดธรรมดาๆจากสมองธรรมดาๆ) แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นกลับมาเป็นฝ่ายทำลายมนุษย์เราเอง ยังกับนิทาน ชาวนากับงูเห่า ยังไงยังงั้นเลย

    *เพิ่มเติม จากความรู้อันอ่อนด้อยจากวิชาศิลปะในวัยละอ่อน การจะให้สี 2 สี ผสมรวมกันได้อย่างกลมกลืนนั้น สีทั้ง 2 สีนั้นจำต้องสูญเสียที่”แท้” ดั้งเดิมของตนเองไป

  2. lljtheone said,

    ไม่น่าเชื่อ พอลงบทความนี้ปุ๊ป เว็บมติชน เอารูปฟ้า2สีมาลงเลย อะไรจะอินเทรนปานนั้น 555


ส่งความเห็นที่ SSM ยกเลิกการตอบ